นักจิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud)


Sigmund Freud

 

Sigmund Freud คือใคร??? ......

 


   






    

    ฟรอยด์ อาศัยในครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขาฉลาดและสอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง เมื่ออายุได้ 17 ปี เขาสอบเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนาได้ ในสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อในสาขาแพทยศาสตร์ หลังจากเรียนจบเขาได้ค้นคว้าต่อทางด้านเซลล์สมอง และได้ไปศึกษาเกี่ยวกับโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ฟรอยด์ได้พบว่าคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ทางร่างกาย เมื่อกลับมายังกรุงเวียนนา เขาตัดสินใจทำงานเป็นแพทย์ทางด้านสมองและประสาท และแต่งงานกับมาร์ธา เบิร์นเนย์ จนมีลูกด้วยกันถึง 6 คน

    ฟรอยด์ ได้พบคนไข้ที่เป็นอัมพาตเนื่องจากปัญหาทางจิตใจหลายราย เขาจึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ คือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้น เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฎว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากการอัมพาตเมื่อรักษาด้วยวิธีนี้ 

    ฟรอยด์ ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์

โดยแบ่งจิตออกเป็น 3 ระดับดังนี้

   

  
  
โครงสร้างบุคลิกภาพ (Structure of Personality)



    Id คือ เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นส่วนที่ไร้จิตสำนึก จุดมุ่งหมายคือ ความพอใจ (เอาแต่ได้อย่างเดียว) ผลักดัน Ego ให้ทำตาม Id ต้องการ
    Ego คือ เป็นส่วนที่พัฒนาจากการที่ทารกได้ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก บุคคลที่ปกติคือมี Ego สามารถปรับตัวให้สมดุลระหว่างความต้องการของ Ed, โลกภายนอก, Supergo
      Supergo คือ เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่พัฒนามาจากขั้นอวัยวะเพศ เป็นส่วนที่ตั้งมาตราการของพฤติกรรมในแต่ละบุคคล โดยได้รับค่านิยมจากพ่อแม่  มาตราการจะคอยบอกว่าอะไรควรอะไรไม่ควร     

 


    ดังนั้น แรงขับพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นแรงขับทางเพศหรือเเรงขับความก้าวร้าว ตลอดทั้งจิตใต้สำนึก จิตก่อนสำนึก และจิตสำนึก ต่างเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่เกิดอย่างเสรีหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะถูกกำหนดจากจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก หากจิตใต้สำนึกมีอิทธิผลต่อความคิดและพฤติกรรมมากกว่าจิตสำนึก บุคคลนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง


กระบวนการคิดของมนุษย์แบบ Sigmund Freud


    Freud เชื่อว่าบุคลิกภาพของคนที่แตกต่างกันนั้น ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่พบเจอมาไม่เหมือนกันของแต่ละคนในวัยเด็ก รวมทั้งขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาของเด็กแต่ละคนด้วย โดยในช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่ง ปี นับเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางกระบวนการคิดมาก โดยเขาได้แบ่งกระบวนการคิดออกเป็น ลักษณะด้วยกัน คือ 

     การคิดลักษณะที่ คือ แบบ Primary Process (ปฐมภูมิ) เป็นการคิดในระดับจิตไร้สำนึก เหมือนการคิดเป็นของเด็ก ๆ ไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล ไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว หรือเวลาและสถานที่ สิ่งเดียวที่ต้องการคือความสุข ความสมหวัง ซึ่งหากได้มาตามความต้องการเมื่อไหร่ถึงจะพอใจ  และยังไม่คำนึงว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรด้วย (Pleasure Principle) เช่น การเพ้อฝัน

    การคิดลักษณะที่ คือ แบบ Secondary Process (ทุติยภูมิ) เป็นการคิดที่ใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไป เป็นการคิดในระดับจิตสำนึก รวมทั้งจิตก่อนสำนึก ก็จะมีกระบวนการคิดเช่นเดียวกัน เป็นการคิดที่อิงหลักการและเหตุผล มองทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง (Reality Principle) เช่น เชื่อบางครั้งมีผิดหวัง บางครั้งก็มีสมหวัง หรือของบางอย่างอาจต้องมีการรอคอยเพื่อให้ได้มา




    Sigmund Freud ใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์เปรียบเทียบจิตใจมนุษย์ว่า คล้ายภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร มียอดภูเขาโผล่พ้นน้ำเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำนั้นมีมากกว่า เขาเปรียบส่วนที่ลอยพ้นน้ำเป็นดังจิตสำนึก ส่วนที่อยู่ปริ่ม ๆ น้ำคือจิตกึ่งสำนึก และส่วนสุดท้าย ที่เป็นส่วนใหญ่ของภูเขาน้ำแข็ง คือ จิตใต้สำนึก ที่คนจะไม่มีโอกาสได้เห็นหรือรับรู้ได้ถึงการมีอยู่นั่นเอง 

    ทฤษฎีจิตวิทยาของ Sigmund Freud ที่พยายามศึกษาค้นคว้าการเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ ก็เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ทฤษฎีความคิด และผลงานทางด้านวิชาการของ Freud ถูกเผยแพร่และนำไปใช้อย่างกว้างขวาง สร้างประโยชน์ให้กับการพัฒนาการทางการแพทย์และจิตวิทยาเป็นอย่างมาก


พัฒนาการบุคลิกภาพ 5 ขั้น ของ Sigmund Freud


    ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพของ Sigmund Freud จะเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางเพศ ที่แสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ ตั้งแต่เป็นเด็กทารก ที่แสดงออกมาในรูปของพลังของลิบิโด (Libido) ที่สามารถเคลื่อนไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ที่รู้สึกพึงพอใจ Freud ก็ได้แบ่งพัฒนาการทางบุคลิกภาพออกเป็น 5 ขั้น


    
    องค์ประกอบที่มีส่วนในพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ฟรอยด์ได้กล่าวไว้ มีดังนี้ 

1. วุฒิภาวะ หมายถึง ขั้นพัฒนาการตามวัย 
2. ความคับข้องใจที่เกิดจากความสมหวังไม่สมหวัง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก 
3. ความคับข้องใจ เนื่องมาจากความขัดแย้งภายใน 
4. ความไม่พร้อมของตนเอง ทั้งทางด้านร่างกาย เชาว์ปัญญา การขาดประสบการณ์ 
5. ความวิตกกังวล เนื่องมาจากความกลัวหรือความไม่กล้าของตน 

    ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไปก็จะเกิดปัญหาทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก โดยฟรอยด์และบุตรสาว (แอนนา ฟรอยด์) ได้แบ่งประเภทกลไกการป้องกันตัว ได้แก่ 
1. การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจหรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก 
2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น  
3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับคัวโดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำอธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น 
4. การถดถอย (Regression) หมายถึง การหนีกลับไปอยู่ในสภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข 
5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) หมายถึง กลไกป้องกันตน โดยการทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเองที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ 
6. การสร้างวิมานในอากาศหรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day dreaming) กลไกป้องกันตัวประเภทนี้เป็นการสร้างจินตนาการหรือมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ 
7. การแยกตัว (Isolation) หมายถึง การแยกตนให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้ โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง 
8. การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement) เป็นการระบายอารมณ์โกรธหรือคับข้องใจต่อคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความคับข้องใจ 
9. การเลียนแบบ (Identification) หมายถึง การปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง
    กลไกในการ ป้องกันตัว เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผล หรือแก้ไขปัญหาได้
 
   
      
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางเพศของ Sigmund Freud


        พัฒนาการมนุษย์ตามแนวคิดของฟรอยด์เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เด็กมีการพัฒนาการด้านบุคลิกภาพที่เหมาะสมได้ เพราะหากเด็กผ่านแต่ละวัยมาโดยไม่มีปัญหา ไม่เกิดการชะงักที่วัยใดวัยหนึ่งก็จะโตขึ้นมีบุคลิกภาพที่ปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหาในแต่ละขั้นของพัฒนาการก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ เช่น เด็กเกิดการชะงักที่ขั้นปาก ก็จะส่งผลต่อเด็กเมื่อโตขึ้น เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก เป็นต้น เราจึงควรมีการเลี้ยงดูที่เหมาะสมแต่ละช่วงวัย
        ในขั้นอวัยวะเพศ เด็กจะมีการแบ่งแยกบุคลิกภาพทางเพศในขั้นนี้ เด็กเริ่มมีการสนในและเรียนรู้เรื่องของแตกต่างด้านเพศ มีความสนใจสอบถามหรือเลียนแบบพฤติกรรม เด็กผู้ชายจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ เด็กผู้หญิงจะเรียนแบบพฤติกรรมของแม่ เพราะฉะนั้นต้องให้ความรู้ด้านเพศที่ถูกต้องแก่เด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง หรือขาดต้นแบบที่ดีอาจทำให้เด็กเกิดการสับสนทางเพศ และโตขึ้นอาจจะเบี่ยงเบนทางเพศได้
        ครูผู้สอนสามารถนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ถูกต้อง เริ่มมีการสอนในเรื่องของบทบาทในสังคมที่ถูกต้อง และในขั้นของเพศครูก็ควรหากิจกรรมเสริมต่างๆ ให้นักเรียนได้ทำ เช่น กิจกรรมกีฬา กิจกรรมดนตรี เป็นต้น เพื่อไม่ให้เด็กหมกมุ่นแต่ในเรื่องเพศ
 


ทฤษฎีแรงขับของ Sigmund Freud

    ฟรอยด์ ได้นำเสนอทฤษฎีที่สำคัญยิ่งอีกทฤษฎีหนึ่ง คือ ทฤษฎีแรงขับของฟรอยด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคล ดังนี้
  1. แรงขับและสัญชาตญาณ (drives and instincts)
  2. ความวิตกกังวล (anxiety)
  3. ระดับของจิตสำนึก (levels of consciousness)


การนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน


ใช้กลไกการป้องกันตัว เช่น ครูเมื่อเห็นนักเรียนมีความกดดัน เครียดระหว่างเรียน ครูก็นำกิจกรรมมาเสริ  เพื่อคลายเครียดให้กับนักเรียน


        สรุปทฤษฎีของฟรอยด์ เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากทั้งทางตรง และทางอ้อม ผู้ที่มีความเชื่อ และเลื่อมใสในทฤษฎีของฟรอยด์ ก็ได้นำหลักการต่างๆ ไปใช้ในการรักษาคนที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ซึ่งได้ช่วยคนมากว่ากึ่งศตวรรษ ส่วนนักจิตวิทยาที่ไม่ใช้หลักจิตวิเคราะห์ ก็ได้นำความคิดของฟรอยด์ ไปทำงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ จึงนับว่าฟรอยด์เป็นนักจิตวิทยา ผู้มีอิทธิพลมากต่อพัฒนาการของวิชาจิตวิทยา




   





























ความคิดเห็น